*
นบข.ไฟเขียว “เงินช่วยเหลือชาวนา” เพิ่มเติม 1,000 บาท/ไร่
ข่าวดี “สุเทพ” นายกกิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาฯ แจ้งข่าวดี “นายกรัฐมนตรี” ทุบโต๊ะ ไฟเขียว เงินช่วยเหลือชาวนา” เพิ่มเติม 1,000 บาท/ไร่ สูงสุดรับ 2 หมื่นบาท พร้อมเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า
*
“ฐานเศรษฐกิจ” ยังคงเกาะติดความคืบหน้าการจ่าย “เงินช่วยเหลือชาวนา” ไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดได้รับเงิน 2 หมื่นบาท วงเงิน 54,972.72 บาท จำนวนเกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์ กว่า 4.6 ล้านราย เกษตรกร สามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงินได้ที่ลิ้งค์ https://chongkho.inbaac.com/ บัญชี ธ.ก.ส. ล่าสุดยังมีตกค้าง จากงบประมาณสำหรับโครงการสนับนุนค่าบริหารจัดการไม่เพียงพอ
*
นายสุเทพ คงมาก นายกิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” วันนี้ (27 เม.ย.65) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม นบข. ครั้งที่ 1/2565 (ผ่านระบบ Video Conference) นั้น โดยมีการวาระในการพิจารณา “เงินช่วยเหลือชาวนา” หรือเงิน โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ในส่วนที่ขอเพิ่ม จำนวน 594.64 ล้านบาท
โดยไม่เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และเป็นการบริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับมาแล้วให้เกิดประสิทธิภาพ จึงเห็นควรนำงบประมาณคงเหลือจากโครงการประกันรายได้ๆ ที่เหลือจ่ายจากการชดเชยส่วนต่าง จำนวน 33 งวด นำมาจ่ายเงินสนับสนุนให้เกษตรกรตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ที่ประชุมจึงได้มีมติ เห็นชอบ รวมทั้งขยายระยะเวลาโครงการฯ ก่อนนำเสนอ ให้นำเสนอ ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า
อ่านข่าวเพิ่มเติม
นบข.นัด ประชุม 27 เม.ย. “เงินช่วยเหลือชาวนา” จ่ายตกค้าง ไร่ละ 1,000 บาท
ทุ่มกว่า 2 พันล้าน ฟื้นเศรษฐกิจฐานราก เกษตร วิสาหกิจชุมชน 16,701 กลุ่ม
ตรวจสอบเงิน “ประกันรายได้เกษตรกร” ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2564/65 (งวดที่ 6)
มติที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการจ่ายเงิน โดยให้ ธ.ก.ส. จ่ายเงินเกษตรกรกลุ่มที่ปลูกก่อน 16 มิถุนายน 2564 วงเงิน 166.50 ล้านบาท สำหรับงบที่เหลือวงเงิน 21.03 ล้านบาท ให้พิจารณาจ่ายให้เกษตรกรกลุ่มที่ปลูกตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2564 ตามความเหมาะสมต่อไป
อย่างไรก็ดี ในโครงการ กรอบ “เงินช่วยเหลือชาวนา” ไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดได้รับเงิน 2 หมื่นบาท วงเงิน 54,972.72 บาท ขอเพิ่ม 594.644 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 55,567.364 ล้านบาท
*

นายสุเทพ กล่าวถึง ในปี 2565 กรมการค้าต่างประเทศ และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกไว้ประมาณ 7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.38 จากปริมาณการส่งออกปี 2564 โดยมีปัจจัยสนับสนุนได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและมีการบริโภคมากขึ้น
ประกอบกับคาดว่าน้ำฝนและน้ำในอ่างเก็บน้ำในปีนี้มีปริมาณเพียงพอต่อการเพาะปลูกทำให้ผลผลิตมีปริมาณเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ราคาข้าวไทยในปี 2565 อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ ทางการทูตระหว่างไทยกับชาอุดิอาราเบียได้รับการฟื้นฟู ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีทางการค้าข้าวของไทย
นอกจากนี้ยังมีเส้นทางการขนส่งเพิ่มขึ้นใหม่อย่างเส้นทางรถไพจีน – ลาว ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการขนส่งสินค้าจากไทยไปจีนท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้าและระวางเรือ อีกทั้ง ยังคาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเขีย – ยูเครนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยมากนัก
โดยอุปสรรคหลักของการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ยังคงเป็นปัญหาค่าระวางที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย ปี 2565 (ม.ค. – ก.พ.) ไทยส่งออกข้าวได้ปริมาณ1.10 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.41 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ราคาข้าวขาวไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม ประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้ประเทศผู้นำเข้าหันมานำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้น
ประกอบกับสถานการณ์ความชัดแย้งระหว่าง “รัสเชีย – ยูเครน” ส่งผลให้ราคาข้าวโพดและข้าวสาลีซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้น จึงทำให้มีการหันมานำเข้าข้าวหักจากไทยเพื่อนำไปใช้ทดแทนข้าวโพดหรือข้าวสาลีในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้นำเข้าบางส่วนยังเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวเพื่อสำรองไว้เนื่องจากมีความกังวลจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย – ยูเครน”
สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ดังนี้ “ข้าวเปลือกหอมมะลิ” และ “ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่” ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนนำข้าวเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปี 2564/65 ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงสีที่มีความต้องการรับซื้อข้าว ต้องเสนอราคารับซื้อข้าวเพิ่มสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้เกษตรกรนำข้าวออกมาจำหน่าย ส่วน “ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว” ราคาปรับตัวลดลง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงผลผลิตฤดูกาลใหม่ (นาปรังปี 2565) ออกสู่ตลาดมาก
*
ในขณะที่การบริโภคในประเทศค่อนข้างคงที่ “ข้าวเปลือกเจ้า” ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการโรงสีมีความต้องการรับซื้อข้าวเพื่อสีแปรสภาพส่งมอบให้กับคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากราคาส่งออกข้าวขาวซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ทำให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวมีความต้องการรับซื้อข้าวขาวจากไทย
เช่นเดียวกับในส่วน “ข้าวเปลือกปทุมธานี” ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการโรงสีมีความต้องการใช้ข้าวและเก็บสต๊อก ในช่วงที่ผลผลิตยังออกสู่ตลาดน้อย จึงเสนอราคารับซื้อเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยบวก ได้แก่ (1) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวสามารถแข่งขัน ในตลาดโลกได้ และ (2) สถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้อุปสงค์กลับมาฟื้นตัว ปัจจัยลบ ได้แก่ ค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวได้